ปิดม่านกันไปแล้วกับศึกโกปา อเมริกา 2019 ด้วยการคว้าแชมป์ของ บราซิล เป็นสมัยที่ 9 ฉลองแชมป์ครั้งแรกในรอบ 12 ปี
ถือได้ว่าในนัดสุดท้ายของศึกนี้เป็นนัดชิงดำที่หนักหนาสาหัสพอควร แม้ว่าจะต้องมาเจอกับโจทก์เก่าอย่าง เปรู ที่พวกเขาไปไล่ถล่มเละ 5-0 ในนัดเปิดสนามรอบแบ่งกลุ่ม แต่ในคราวนี้พวกเขาต้องเหลือเพียงแค่ 10 คนเมื่อ กาเบรียล เชซุส ไปคว้าใบเหลืองมาครบจบด้วยใบแดงออกสนามไป แต่แล้วทั้งการวางแผนที่รัดกุมของ ตีเต้ และความร่วมมือของเหล่าแข้งแซมบ้า ยังมีอีก 5 ประเด็นด้วยกันที่สามารถทำให้พวกเขาดันตัวเองไปเอื้อมถ้วยรางวัลที่รอมาถึง 12 ปีได้สำเร็จ
เมื่อนึกถึงภาพของทัพเซเลเซาลงสนามคราวใด หลายคนคงนึกถึงภาพลีลาการเตะอันโดดเด่น แต่นั่นมันไม่ใช่สำหรับ ตีเต้ เพราะทุกการลงเตะสำหรับเขาคือต้องเอาชัยชนะมาให้ได้ ไม่ใช่ไปเล่นบอลโชว์เอาใจแฟนบอล ทุกครั้งที่ลงศึกเขาจะย้ำกับลูกทีมให้ตระหนักถึงเรื่องนี้เสมอ และมันก็ได้ผลดีเกินคาดโดยเฉพาะในนัดชิงดำที่พวกเขาเสียเปรียบเรื่องจำนวนคน แต่ก็ยังกดดันอีกฝ่ายจนเอาชัยมาได้สำเร็จ
หลายครั้งที่เราจะเห็นว่ากุนซือส่วนมากมักจะเลือกใช้แข้งต่ำกว่า 30 อย่างมากก็แค่บวกไปนิดหน่อย อาจด้วยความฟิตหรืออะไรก็ตามที่ทำให้มีข้อได้เปรียบมากกว่าแข้งแก่ แต่ ตีเต้ กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม เขาวางใจในตัว ดาเนี่ยล อัลเวส แข้งวัย 36 เป็นอย่างมาก ถึงขนาดให้เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมทำศึกเพื่อชาติในครั้งนี้
และแข้งโรนินก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาสามารถงัดฟอร์มออกมาไม่น้อยหน้าแข้งหนุ่มทั้งหลาย แถมประสบการณ์ที่เขาเก็บเกี่ยวมาจนถึงช่วงที่อยู่กับ เปแอสเช ถิ่นเก่าที่เพิ่งจากกันมา ก็สามารถนำมาใช้ช่วยแข้งรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี และเก๋าพอที่จะคว่ำเหล่าแข้งดังในทีมฟ้าขาวเมื่อนัดตัดเชือกอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ อัลเวส จะได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของรายการนี้
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก อลีสง เบ็คเกอร์ อีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาไม่ยอมปล่อยให้บอลผ่านมือไปนับตั้งแต่ช่วงที่ลิเวอร์พูลทำศึกใหญ่อยู่ มาจนถึงตอนกลับมาช่วยชาติ อลีสง ยังคงทำผลงานได้ดีไม่มีตกหล่นจนหลายคนคาดว่าเขาน่าจะสร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่ให้วงการลูกหนังได้ แถมยังถูกจับตามองจากเหล่ายักษ์ใหญ่ในเกมระดับโลกอีกด้วย
แม้ว่าเจ้าตัวจะมาพลาดท่าให้กับลูกโทษของ เปาโล เกร์เรโร่ แต่นั่นก็เป็นเพียงประตูเดียวที่ผ่านมือ อลีสซง ไปได้ แทบจะเรียกว่า อลีสซง เบ็คเกอร์ คือมือเฝ้าเสาระดับตำนานของวงการลูกหนังอีกคน
แม้ว่าก่อนหน้านี้ เอแวร์ตอน จะไม่สามารถงัดฟอร์มการเล่นออกมาได้ดีเท่าที่ควร แต่แล้วในนัดชิงดำเขาก็สามารถทำได้ตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดเริ่มเกม ไม่ว่าจะเป็นการคอยเติมเกมรุกบุกเข้าไปจนฝั่ง เปรู ตั้งรับแทบไม่ทันก่อนจะเบิกร่องนำชัยให้กับทีมเป็นประตูแรกในนัดสุดท้าย จนได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ บวกรางวัลดาวซัลโวของรายการเข้าไป คาดว่าหลังจากนี้เขาจะถูกล็อคเป้าโดยยักษ์ใหญ่สักรายในยุโรปแน่นอน
การคว้าถ้วยโกปาใบที่ 9 มาครองจะทำได้ยากขึ้นหากขาด กาเบรียล เชซุส ซึ่งเขาเป็นหัวใจสำคัญในการไล่ล่าแต้มฝ่ายตรงข้ามมาตั้งแต่นัดเปิดสนาม และใน 4 ประตูสุดท้ายยังเป็นผลงานการยิง 2 แอสซิสต์ 2 ของเขาอีกด้วย สำหรับเรื่องใบแดงที่เจ้าตัวได้ไปในนัดปิดสนาม คงเป็นเรื่องที่สะเทือนใจ เชซุส อย่างมากถึงขนาดหลั่งน้ำตา ยังดีที่เพื่อนร่วมทีมอีก 10 คนที่เหลืออยู่ช่วยกันรุกไล่จนเอาชัยมาได้